โดย : หมอดาว เขาเขียว ธรรมชาติของเสือ เสือจัดเป็นสัตว์ที่ดุร้ายในสายตาของผู้คนทั่วไป แต่แท้ที่จริงแล้วเสือแต่ละชนิดก็จะมีนิยายชีวิตของตัวมันเองทั้งดุร้ายและขี้กลัวปะปนอยู่ในตัวเดียวกัน นิสัยของเสือเองก็แตกต่างกันไปในแต่ละชนิด มีเสือหลากหลายที่ชอบน้ำ เช่น เสือโคร่ง เสือปลา แมวป่าหัวแบน เป็นต้น เสือโคร่งมักชอบนอนแช่ในแหล่งน้ำเป็นเวลานานๆโดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศร้อน ออกล่าเหยื่อในเวลาเย็นถึงค่ำ โดยรวมกลางวันมักจะพักผ่อนบริเวณที่เย็นๆและออกหากินช่วงเย็นถึงกลางคืน มักอาศัยตามลำพังจึงมีนิสัยหวงเหยื่อ อย่างไรก็ตามในการจัดการดูแลเสือแต่ละชนิดนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบนิสัย ถิ่นอาศัย และวิถีการดำเนินชีวิตของเขาเพื่อนำมาวางแผนและออกแบบการจัดการดูแล สำหรับบทความนี้จะเป็นการพูดถึงภาพรวมของการดูแลเสือโดยไม่เฉพาะเจาะจงลงไปชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งท่านสามารถนำไปใช้เป็นการจัดการพื้นฐานและประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเสือในแต่ละชนิดหรือสัตว์ชนิดอื่นได้เช่นกัน การจัดการพื้นฐาน 1. กรงเลี้ยง พื้นที่ในส่วนคอกกัก ต้องมีหลังคาป้องกันแดดและฝนได้อย่างเพียงพอ พื้นควรจะเทซีเมนต์และขัดเรียบพอสมควรเพื่อง่ายต่อการทำความสะอาด พื้นซีเมนต์ที่ขัดหยาบจะสร้างปัญหาเรื่องอุ้งเท้าได้ในระยะยาว การเทซีเมนต์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจในเรื่องความลาดเอียงของพื้นที่ที่จะให้น้ำไหลลงท่อระบายได้สะดวก ปัญหาที่พบบ่อยคือในขณะก่อสร้างได้วัดระดับไว้อย่างดี มีความลาดเอียงไม่น้อยกว่า 5% แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป 2-3ปี พื้นจะทรุดตัวลงเรื่อยๆ เนื่องจากพื้นที่ที่สร้างคอกมักมิได้วางฐานตอกเข็มหรือทำคานไม่ดี ดังนั้นอาจจะจำเป็นต้องเผื่อการทรุดตัวในอนาคตด้วยเช่นกัน พื้นที่ลานออกกำลังกายควรกรุด้วยตาข่ายด้านบนให้มีความสูงประมาณ 4 เมตรขึ้นไป แสงแดดต้องส่องได้ทั่วถึงทั้งบริเวณ ตาข่าย ควรเลือกใช้ตาข่ายขนาด 2x2 นิ้วอย่างดีเพื่อความทนทาน การเชื่อมตาข่ายกับโครงเหล็กของโครงสร้างกรงจำเป็นต้องพิถีพิถันอย่างยิ่ง เพราะเสือมีน้ำหนักตัวมากและมักจะกระโจนเล่นใส่ตาข่ายได้บ่อยๆ อาจทำให้ตาข่ายตรงจุดที่เชื่อมหลุดได้ง่าย การป้องกันทำได้โดยการเสริมลวดสลิงขนาด 4 หุนสอดไว้ทุกระดับความสูงของตาข่ายโดยให้แต่ละเส้นห่างกันประมาณ 1 เมตรจะช่วยลดการชำรุดของตาข่ายได้มากสามารถอยู่ได้นานหลายปี อีกจุดหนึ่งที่จะต้องระวังคือ จุดคานบริเวณรอบพื้นที่คอกใหญ่ที่ใช้เชื่อมต่อกับตาข่าย จุดนี้ติดกับพื้นดินจึงชำรุดเสียหายได้ง่ายเนื่องจากสัมผัสดินซึ่งมีสารต่างๆทำให้เกิดการผุกร่อนได้เร็วกว่าจุดอื่น หรือหากเป็นกรงที่ทำจากเหล็กเส้นอยู่แล้วก็มักไม่ค่อยพบปัญหามากนักแต่จำต้องหมั่นตรวจเช็คเป็นประจำ แคร่นอน ควรจัดให้มีแคร่สำหรับนอนที่ยกจากพื้นอย่างน้อย 1 ฟุต ทำจากไม้โดยตรงหรือสร้างเป็นแท่นปูนแล้วปูด้วยพื้นไม้ หรืออาจจะทำเป็นลักษณะขอนไม้ที่มีขนาดกว้างยาวเพียงพอก็ได้ สำหรับคอกลูกเสือจำเป็นต้องระวังในเรื่องความสูงของแคร่เพื่อป้องกันมิให้ลูกเสือกระโดดลงมาจนเกิดบาดเจ็บได้ และอาจจะทำทางปีนขึ้นลงได้ตามความเหมาะสมของลักษณะของคอก แต่ไม่ควรออกแบบให้มีเฟอร์นิเจอร์มากจนเกินไปเพราะจะกลายเป็นที่หลบซ่อนตัวได้ทำให้การจัดการอื่นๆทำได้ลำบากตามมา บ่อน้ำ เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เสือที่เลี้ยงได้รับการผ่อนคลายได้มาก อีกทั้งยังช่วยให้กรงเลี้ยงสัตว์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น จุดที่เหมาะจะทำบ่อน้ำ ควรได้รับแสงแดดโดยตรงเพื่อจะได้ไม่อับชื้นและทำความสะอาดได้ง่าย บ่อน้ำนี้จำเป็นต้องทำสะดือบ่อตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโดยจัดให้สามารถควบคุมการถ่ายเทน้ำของบ่อได้จากภายนอกของคอก ไม่ควรเปิดน้ำขังไว้ในบ่อทั้งวันทั้งคืน แต่ควรเปิดน้ำให้เสือได้เล่นเฉพาะเวลาบ่ายเท่านั้นและขับออกทุกเย็น อาจจะไม่จำเป็นต้องให้เสือได้เล่นทุกวัน เลือกเฉพาะวันที่อากาศร้อนก็เพียงพอ 2. การให้อาหาร เสือเป็นสัตว์กินเนื้อโดยตรงแต่ในธรรมชาติมีการกัดแทะ ดังนั้นอาหารที่ให้เสือนอกจากจะให้เนื้อเป็นก้อนซึ่งง่ายต่อการจัดหาและจัดการแล้ว สมควรจัดให้มีการให้โครงสัตว์เป็นตัวประมาณสัปดาห์ละครั้งหรืออย่างน้อยเดือนละสองครั้ง เช่น กระดูกซี่โครงวัว หรือกะโหลกสัตว์ เพื่อให้เสือได้สามารถใช้เวลาในการกินด้วยอีกทั้งยังช่วยลดการสะสมของหินปูนได้มาก การให้โครงไก่สามารถให้ได้แต่ต้องระวังอย่าให้มากเกินไปในแต่ละมื้อเพราะอาจเกิดปัญหาเรื่องการทิ่มตำในกระเพาะอาหารได้เมื่อกินอิ่มและกระเพาะขยายเต็มที่ อาจจะจัดให้โครงไก่และเนื้อปนกันเสมอทุกมื้อ การให้อาหารสำหรับเสือที่โตเต็มวัย ควรให้ 3-5 กิโลกรัมต่อวัน โดยอาจแบ่งให้เป็นสองมื้อหรือมื้อเดียวก็ได้ และให้เพียงสัปดาห์ละ 5-6 วันก็เพียงพอไม่จำเป็นต้องให้ทุกวัน เราควรพิจารณาเรื่องอายุ การเจริญเติบโต การอุ้มท้องและความอ้วนของเสือเป็นประจำ เพราะเสือที่เลี้ยงในคอกมักมีปัญหาเรื่องการอ้วนมากเกินไปอาจจะส่งผลทำให้ความสมบูรณ์พันธุ์ลดลงได้และยังก่อให้เกิดปัญหาลูกตายแรกคลอดได้ง่าย นอกจากนี้การให้อาหารจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้อาหารเฉพาะภายในคอกกักของเสือแต่ละตัวเท่านั้นเพื่อเป็นการฝึกให้เสือเข้ากรงซึ่งจะง่ายต่อการจัดการอื่นๆเป็นอย่างมาก สำหรับลูกเสือควรจัดให้กินนมแม่โดยตรงและค่อยปรับเปลี่ยนให้เนื้อได้เมื่ออายุประมาณ 2 เดือนขึ้นไป หากตัดสินใจที่จะแยกลูกเสือมาเลี้ยงควรทำเมื่ออายุได้ประมาณ 3 วัน หากทำก่อนหน้านั้นลูกเสือจะอ่อนแอได้ง่ายเนื่องจากได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่ไม่เพียงพอเพราะสัตว์ตระกูลแมวจะสามารถถ่ายทอดภูมิคุ้มกันผ่านทางรกในขณะตั้งท้องได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่หากนานจนถึงสัปดาห์แล้วมักจะระแวงคนและไม่ค่อยเชื่องเท่าที่ควร การให้นมสำหรับลูกเสือจำเป็นต้องได้รับความรู้จากสัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์โดยตรงเพราะมีความสำคัญทั้งสูตรของนม สารอาหารที่จำเป็นจะต้องได้รับ ความถี่บ่อยในการให้ในแต่ละช่วงอายุ การกระตุ้นการขับถ่าย ท่าทางในการป้อนนม ตลอดจนการประเมินอัตราการสมบูรณ์และการเจริญเติบโตในแต่ละช่วงอายุที่เหมาะสม 3. การให้น้ำ เสือเป็นสัตว์ที่ชอบถ่ายในน้ำ ดังนั้นในอ่างน้ำกินจึงมักเป็นจุดที่สะสมของพยาธิและสิ่งสกปรกนานาชนิด อ่างน้ำกินในคอกกักควรจะทำด้วยซีเมนต์เพื่อความทนทานและออกแบบให้มีขอบมนทั้งด้านบนและด้านในบ่อเพื่อง่ายต่อการทำความสะอาด ไม่ควรออกแบบให้หักมุม 90 องศาซึ่งจะทำความสะอาดได้ยากและใช้เวลานาน และยังต้องสามารถเปิดระบายน้ำได้จากภายนอก ควรทำการเปลี่ยนน้ำกินอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรืออาจจะให้เฉพาะเวลาก็ได้แล้วแต่การจัดการอื่นๆประกอบ 4. การจัดการทั่วไป ประจำวัน · ทำความสะอาดคอกทุกเช้าและเย็น โดยการฉีดล้างด้วยน้ำที่มีแรงดันน้ำมากพอสมควรเพื่อชะล้างอุจจาระและปัสสาวะของเสือให้ระบายลงตามท่อระบายที่มีอยู่ในคอก · ให้อาหารเช้า และ/หรือ เย็น ตามอัตราส่วนที่ควรจะได้รับในแต่ละตัว · ปล่อยให้เสือได้ออกกำลังกายที่ลานภายนอกในช่วงสายหรือบ่ายของทุกวัน · ผู้ดูแลจำต้องบันทึกการกินอาหาร สุขภาพทั่วไป การจัดการทั่วไป เป็นประจำทุกวันและส่งมอบต่อผู้บังคับบัญชาทุกวัน (การลงบันทึกเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยฝึกให้ผู้ดูแลจำเป็นต้องเอาใจใส่ต่องานและป้องกันการละเลยต่อปัญหาที่มองเห็น เนื่องจากงานเลี้ยงสัตว์ที่ต้องทำเหมือนกันทุกวันกลายเป็นงานประจำที่น่าเบื่อ จึงมักมองข้ามหรือละเลยสิ่งผิดปกติได้ง่ายนั่นเอง) ประจำสัปดาห์ ประจำเดือน การจัดการด้านสุขภาพ เสือเป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกันกับแมว ดังนั้นจึงสามารถเจ็บป่วยได้จากโรคติดต่อชนิดเดียวกันกับในแมว เช่น Rabies Feline panleukopenia เป็นต้น แต่ทั้งนั้นตามมาตรฐานการดูแลสัตว์ตระกูลเสือในสวนสัตว์ต่างๆของโลกนิยมนำเอาวัคซีนเชื้อตาย ที่ใช้ในแมวมาทำการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเสือซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยหากเป็นพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรคบางที่อาจจะให้ทำปีละ 2 ครั้งหรือปีละ 1 ครั้งในพื้นที่ที่ไม่เคยมีประวัติการระบาดของโรคมาก่อน ลูกเสือควรเริ่มทำวัคซีนเมื่ออายุได้ประมาณ 3 เดือนและควรจะต้องกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเดือนที่ 4 อีกหนึ่งครั้งเพื่อให้ระดับของภูมิคุ้มกันสูงเพียงพอที่จะป้องกันโรค หากแต่การทำวัคซีนเป็นเพียงการป้องกันโรคติดต่อที่รุนแรงที่มักเกิดกับสัตว์ในตระกูลนี้เท่านั้น แต่ไม่สามารถป้องกันโรคอื่นๆได้เลย ดังนั้นการดูแลและตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำอย่างยิ่ง เสือเป็นสัตว์กินเนื้อสามารถติดพยาธิได้ง่ายจากเนื้อที่ให้เพื่อเป็นอาหาร ทั้งพยาธิตัวกลม พยาธิตัวแบนและพยาธิตัวตืด การตรวจหาไข่พยาธิเป็นประจำทุก 2-3 เดือนจึงจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการติดพยาธิมักจะรุนแรงขึ้นเป็นลำดับหากมีการจัดการในการเลี้ยงที่ไม่ดีพอ อาทิเช่น การไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำกินเป็นประจำเช้า-เย็น สามารถส่งผลให้เสือสามารถติดพยาธิที่เพิ่งขับถ่ายออกไปได้ง่าย เนื่องจากเสือชอบถ่ายในน้ำและกินน้ำที่มีอุจจาระปะปนนั่นเอง ทำให้เสือในกรงเลี้ยงมักพบปัญหาการติดพยาธิมากกว่าเสือในธรรมชาติหลายเท่า ดังนั้นการตรวจหาไข่พยาธิจากอุจจาระและการถ่ายพยาธิเป็นประจำทุก 3 เดือนจึงเป็นสิ่งจำเป็น การตรวจหาไข่พยาธิควรตรวจก่อนและหลังการให้ยาถ่ายพยาธิเสมอเพื่อเป็นการตรวจสอบว่าจำนวนพยาธิลดลงและยาที่ให้นั่นถูกต้องเหมาะสมกับชนิดของพยาธินั่นเอง ตามปกติแล้วสัตว์หรือมนุษย์ทุกคนควรได้รับการตรวจสุขภาพทุก 6 หรือ 12 เดือนเพื่อค้นหาความผิดปกติที่อาจจะสะสมจนมีผลต่อสุขภาพในอนาคต แต่การตรวจสุขภาพเสือทุก 6 เดือนเป็นสิ่งที่ทำได้ยากแต่ไม่คุ้มต่อการเสี่ยงนัก ดังนั้นการบันทึกสุขภาพประจำวันที่กระทำโดยผู้เลี้ยงจะช่วยประกอบการพิจารณาได้เป็นอย่างดีว่าสัตว์ตัวนี้น่าจะมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ หากมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติ ก็วางแผนเพื่อหาวิธีที่จะตรวจเช็คสุขภาพจากอุจจาระ เอ็กซเรย์ เลือด เพื่อให้ได้ข้อมูลทางโลหิตวิทยามาประกอบในการวางแผนดูแลสุขภาพต่อไป แต่หากมีงบประมาณมากเพียงพอก็สามารถทำการวางยาสลบเพื่อตรวจสุขภาพและร่างกายได้ทุกตัว ข้อควรระวังและอื่นๆ สิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลสัตว์ คือ จำเป็นที่จะต้องเอาใจใส่และเรียนรู้พฤติกรรม นิสัย ชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์แต่ละชนิดแต่ละตัวให้ทราบเสียก่อนว่า ปกติของแต่ละตัวคืออะไร เพราะจะทำให้เราทราบว่าสิ่งใดคือสิ่งผิดปกติ และสามารถมองเห็นสิ่งผิดปกตินั่นๆได้อย่างทันท่วงทีที่สิ่งนั่นเกิดขึ้นและป้องกันแก้ไขได้ทันท่วงที .....................................................................................
Wednesday, December 12, 2007
การจัดการในการดูแลเสือ
Posted by Karn Lekagul at 8:45 AM
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment