Wednesday, December 12, 2007

เขาหาว่าผมฆ่าช้าง..นะครับ

เขาหาว่าผมฆ่าช้าง..นะครับ


โดย: หมอจ๊อบ..ค่ะ


" พี่ต้อมอยากให้จ๊อบเอาเรื่องนี้มาเราให้พวกเรา zoo_vet ได้ทราบถึงข้อเท็จจริงกัน เพราะอย่างน้อยเรากันเอง ก็น่าจะเข้าใจกันเอง..."

...ปกติแล้วพี่ต้อมจะมีหน้าที่ต้องลงไปตรวจสุขภาพช้างในเขตพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับมูลนิธิช่วยช้างภาคใต้ เป็นประจำทุก 6 เดือนอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน เราไปจากลำปางกัน 3 คน คือ พี่ต้อม จ๊อบและ Dr. Bjarne เจ้าหน้าที่จาก RSPCA และเราลงไปภูเก็ต เพื่อเจอกับ หมอเอ สยาม ซาฟารี (vet 61) และคุณเอ เจ้า หน้าที่ประสานงานของมูลนิธิช่วยช้างภาคใต้


ในวันอาทิตย์ที่ 9 พ.ย.เป็นวันแรกที่เราเข้าเยี่ยมแค้มป์ ก็ได้เจอกับปศุสัตว์อำเภอ (หมอจิรายุ) แกบอกว่าที่แค้มป์ช้างบางแป ซาฟารี มีช้างป่วยมากอยู่เชือกนึง เมื่อวานได้เข้าไปดูและรักษาไปบ้างแล้ว ยังไงถ้าเราว่าง ให้ช่วยเข้าไปดูให้หน่อย เผื่อ จะช่วยอะไรได้บ้าง


เช้าวันจันทร์ เราก็เข้าไปดูให้ แจ้งพนักงานที่เคาเตอร์ว่าหมอจิรายุบอกว่ามีช้างป่วยให้มาดูแล เจ้าหน้าที่ก็พาไปดูช้างตัวที่ป่วย ซึ่งยืนนิ่ง งวงตก หางไม่ไกว หูไม่แกว่ง และช้างอยู่ในสภาพที่ผอมมาก ขนาดที่ว่าเราให้ BCS = 1 (จริงๆ อยากจะให้ 0 ด้วยซ้ำแต่ก็เกรงใจ)


หลังจากซักประวัติจากควาญแล้ว ทราบว่าช้างเพิ่งมาจากพัทยา เมื่อประมาณ 1 เดือน โดยควาญเป็นคนไปรับช้างมาเอง ตอนแรกที่มาช้างมีสภาพผอมไม่ต่างจากนี้มากนัก แต่ยังคงกินอาหารได้ และยังสามารถรับนักท่องเที่ยวได้วันหลายรอบ ช้างเพิ่งจะมาไม่ค่อยยอมกินอาหารเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เมื่อวานซืนหมอเพิ่งจะมาดู และได้ให้น้ำเกลือไป 4 ลิตร พร้อมกับฉีดยาให้ 2 เข็ม อันได้แก่ Catosan, PenStrep
จากการตรวจสภาพร่างกาย พบว่าช้างมีแผลเปื่อยอยู่ทั่วตัว ซึ่งควาญบอกว่าเมื่อมาถึง หมอฉีด Ivomec ให้ หลังจากนั้นอีก 3-4 วัน ก็เกิดแผลขึ้นทั่วตัว และเป็นอยู่อย่างนั้นมาจนวันนี้ (เกือบเดือน) โดยเฉพาะบริเวณหัวแล้ว เราพบแผลหลุมลึก
ค่อนข้างใหญ่อยู่ไม่ต่ำว่า 2 จุด ปากแผลเปื่อย และมีหนองเล็กน้อย นอกจากนั้นยังพบแผลเปื่อยอีกจุด คือบริเวณรอบทวารหนัก ซึ่งเป็นจุดที่มีแผลกว้างมากที่สุด

หลังจากนั้นได้พยายามล้วงก้นเพื่อจะเก็บอึ ในครั้งแรกเราไม่สามารถเก็บได้ เนื่องจากไม่พบสิ่งใดอยู่ในลำไส้เลย นอกจากนั้นยังพบว่า ภายในลำไส้ยังมีสภาพที่เย็นมากต่างจากช้างปกติทั่วไป เมื่อเก็บอึในครั้งแรกไม่ได้ เราจึงเก็บเลือดไปตรวจ (เป็นตัวเดียวที่เราเก็บในการไปภูเก็ตครั้งนี้ เนื่องจากช้างเชือกอื่นๆ ที่เราเจอทุกแค้มป์อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก) แล้วเราก็ฉีดยาให้ โดยพิจารณาตามยาที่หมอเคยให้เมื่อ 2 วันก่อน ยาที่เราให้ก็คือ Pen-strep, Roborante, และ Triam เพื่อลดการอักเสบของแผลที่ผิวหนังด้วย


หลังจากให้ยาแล้ว เราได้พยายามที่จะเก็บอึอีกครั้ง ได้ออกมานิดหน่อยประมาณ ครึ่งฝ่ามือแบบางๆ ลักษณะของอึที่เก็บได้ ดูแล้วเหมือนแทบจะไม่ได้ผ่านการย่อยมาเลย เพราะหยาบมาก

ส่วนบาดแผลตามร่างกาย เราก็ช่วยกันทำแผลตามปกติ ใช้เวลากับช้างเชือกนี้มากกว่า 1ชั่วโมง ตลอดเวลาที่เราทำการรักษา ควาญจะชี้ให้ ดูความผิดปกติของช้างแทบจะตลอดเวลา เช่นว่า ขาหลังไม่ค่อยมีแรง หรือไม่ก็ คอยจะขอยาทำแผลไว้บ้าง ส่วนพนักงานที่เจอเราในตอนแรกก็ให้การต้อนรับขับสู้อย่างดี มีน้ำมาเสิร์ฟ คอย อำนวยความสะดวกในการรักษาตลอด ซึ่งหลังจากที่เรารักษาช้างเรียบร้อยแล้ว Dr. Bjarne ยังกำชับให้บอกควาญว่า หากว่างให้ควาญไปตรวจสุขภาพตัวเองด้วย เพราะควาญมีสภาพผอมโซ ดูขาไม่ ค่อยจะมีเรี่ยวมีแรง ซึ่งไม่ต่างจากช้างเท่าไรนัก จากนั้นเราก็ออกเดินทางเพื่อไปเยี่ยมช้างต่อ บริเวณเขาหลัก เขาสก ซึ่งเป็นจุดที่ บริษัทมือถือต่างๆ คงยังเข้าไปสำรวจไม่ถึง จึงทำให้โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ไม่ สามารถติดต่อกับใครได้ จนกระทั่งเย็น เมื่อเรากลับเข้าในตัวเมือง ประมาณเกือบ 2 ทุ่ม มีคนโทรมาบอกว่า ช้างล้มอยู่ในคูน้ำ ไม่สามารถลุกขึ้นได้ เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงไปถึงแค้มป์ ระหว่างที่เราใกล้จะถึงนั้น ก็มีคน
โทรมารายงานว่า ช้างเสียชีวิตแล้ว เนื่องจากเจ้าของเรียกรถเครนมายกช้างขึ้นจากคูน้ำ

เมื่อไปถึงเราพบช้างอยู่ในสภาพนอนตะแคงซ้าย บริเวณอกมีเชือกมะนิลา 2 เส้น คาดแบบสะพายแล่งอยู่ อยู่ข้างสะพานรถข้ามริมถนน รอประมาณครึ่งชั่วโมงเจ้าของจึงเดินทางมาถึง ก็ได้พยายามที่จะทำความเข้าใจกับ เจ้าของ โดยมีปศุสัตว์อำเภอเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย แต่ก็ไม่เป็นผล ควาญเอง ก็ต้องเอาตัวรอด โดยบอกเจ้าของว่า ได้ห้ามเราแล้วไม่ให้ฉีดยาช้าง แต่เราไม่ยอมฟัง เจ้าของเองไม่ยอมรับว่าช้างของตัวเองอยู่ในสภาพที่แย่เต็มที กลับบอก ว่า "ช้างมันจะตายวันนี้พรุ่งนี้ ก็ปล่อยให้มันตายของมันเอง นี่พวกคุณเข้ามา ฉีดยาช้างผมนั่นแหล่ะ ช้างผมถึงตายเร็วขึ้นไปอีก" และเจ้าของยังไม่ยอมให้เราผ่าซากเพื่อพิสูจน์หาความจริง โดยบอกว่า "ช้างมันตายไปแล้ว พวกคุณจะอ้างว่ามันเป็นอะไรก็ได้ ถึงทำให้ช้างตาย โดยที่ไม่ยอมรับว่ามันตายเพราะพวกคุณฉีดยา...ผมไม่เชื่อพวกคุณหรอก" เป็นอันว่าคืนนั้น เราก็ตกลงกันไม่ได้ ปศุสัตว์อำเภอจึงให้พวกเรากลับกันไปก่อน โดยบอกว่าจะช่วยคุยให้

ผลปรากฏว่า วันรุ่งขึ้นเจ้าของเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจ และพานักข่าวมาทำข่าว ที่ตัวช้าง ซึ่งในขณะนั้น พวกเราก็ออก ทำงานตามโปรแกรมที่วางไว้ คือที่จังหวัดกระบี่ ตกเย็นเราถึงทราบจากปศุสัตว์อำเภอว่านักข่าวมาทำข่าวไปเรียบร้อยแล้ว
จึงออกมาเป็นข่าวให้เห็นดังที่ได้อ่านกัน เย็นวันนั้น เราเข้าไปคุยกับปศุสัตว์จังหวัด พร้อม OPD และผลเลือด ซึ่งท่านก็เข้า
ใจ และยืนยันจะช่วยไกล่เกลี่ยให้ ซึ่งวันถัดมา คือวันที่ 12 พ.ย. เจ้าของช้างได้เข้าพบปศุสัตว์จังหวัด โดยนำทนาย
ไปด้วย บอกว่าไม่ว่ายังไงก็จะฟ้องร้องให้ถึงที่สุด ปศุสัตว์ท่านก็บอกว่า ฟ้องไปก็แพ้ เพราะดูจากสภาพความเป็นจริงแล้ว เราไม่ได้ทำอะไรผิด

สุดท้ายแล้ว ในวันต่อมา เจ้าของก็เข้าไปถอนแจ้งความ... และผู้ประสานงานของมูลนิธิโทรมาบอกเราในระหว่างเดินทางกลับว่า ผู้ว่าราชการ จังหวัด พร้อมด้วยปศุสัตว์จังหวัด ได้แจ้งให้ทราบว่า ในเดือนหน้าจะทำหนังสือมา เชิญพี่ต้อมกลับไปอีกครั้ง เพื่อทำการตรวจช้างทุกเชือกในภูเก็ตโดยละเอียด

....ส่วนผลการตรวจอื่นๆ จะแจ้งให้ทราบในคราวต่อไป และหากมีการตรวจพบว่า
เป็นโรคติดต่อร้ายแรง อาจมีการรายงานอย่างเป็นทางการ....!?!



No comments: